โรคเริม คืออะไร

โรคเริม อย่าปล่อยให้เรื้อรัง!

โรคเริม คือ โรคทีเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มหนึ่ง ที่มีชื่อภาษาอังกฤษคือ Herpes Simplex Virus (HSV) พบได้มากในทุกวัย ตั้งแต่หนุ่มสาวถึงผู้ใหญ่

โรคเริมเป็นโรคที่เป็นๆหายๆ มักเป็นเรื้อรัง และไม่สามารถที่จะรักษาหายขาดตลอดไปได้ แต่สามารถที่จะคุมอาการไว้ได้ ถ้าภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแข็งแรงดีพอ แต่เมื่อภูมิคุ้มกันตกลง ก็มักจะเกิดการกำเริบซ้ำไปมาได้ 

ประเภทของเชื้อเริม

เชื้อของโรคเริม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท 

  1. เชื้อ HSV-1 – เชื้อชนิดนี้พบได้มากที่บริเวณริมฝีปาก และผิวหนังที่บริเวณเหนือสะดือ
  2. เชื้อ HSV-2 – เชื้อชนิดนี้มักได้จากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงทำให้พบได้มากที่บริเวณอวัยวะเพศ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย

สาเหตุของโรคเริม

เริมมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มหนึ่งคือ Herpes Simplex Virus (HSV) สามารถติดต่อกันได้โดยจากการสัมผัส บริเวณริมฝีปาก บริเวณอวัยวะเพศ บริเวณเปลือกตา และบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย

หรือการสัมผัสกับผู้ที่มีบาดแผล รวมถึงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยก็เสี่ยงทำให้ติดเชื้อเริมได้ 

อาการของโรคเริม

อาการของโรคเริมอาจจะมีอาการคล้ายกับโรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัด โดยมีตุ่มน้ำขึ้นมาบนผิวหนัง และบริเวณที่พบบ่อยที่สุดคือ บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะเพศ นอกจากนั้นยังพบได้ในบริเวณผิวหนังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น แขน ขา มือ หน้า ตา คอ หลัง ก้น เป็นต้น รวมไปถึงเนื่อเยื่อในช่องปากและเนื้อเยื่ออื่นๆ

ในช่วงแรกของการติดเชื้อ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติอะไรแสดงออกมา และเมื่อภูมิคุ้มกันแย่ลง มักจะเกิดอาการแสดงออกมา ซึ่งอาการมักจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และตำแหน่งที่เป็น ที่พบบ่อยสุดมักจะเป็นเริมที่ปาก และเริมที่อวัยวะเพศ 

ในผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจมีปัญหาเช่น มีอาการไข้ มีตุ่มน้ำแตกออกมา เป็นแผล อาจมีอาการปวดแสบปวดร้อน ปวดตามตัวตามร่างกาย ในบางคนอาจเป็นร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองโต 

ในผู้ป่วยที่เป็นเริมครั้งแรกแล้วอาการดีขึ้นแล้ว หลังจากนั้นเชื้อเริมอาจจะยังฝังอยู่ในปมเส้นประสาท และเมื่อถูกกระตุ้นอีกครั้งก็มีโอกาสที่จะเคลื่อนที่ไปตามเส้นประสาทและเดินทางไปถึงปลายประสาท และก่อให้เกิดการกำเริบของเชื้อเริมขึ้นมาอีกได้ 

แต่อาการมักจะไม่รุนแรงเท่ากับได้รับเชื้อครั้งแรก ผู้ป่วยมักจะมีอาการแสบร้อนคันเกิดขึ้นนำมาก่อน แล้วตามด้วยตุ่มขึ้นตามมา โดยมีอาจมีตุ่มน้ำขึ้นบริเวณที่ใกล้เคียงกับบริเวณเก่า และอาการที่เป็นมักเบากว่าเดิม เช่น จำนวนของตุ่มไม่มากเท่า หรือ ตุ่มมีขนาดไม่ใหญ่เท่าเก่า 


ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เชื้อเริมกำเริบอาการกลับมาเป็นอีกครั้ง

  • การพักผ่อนที่ไม่เหมาะสม เช่น การนอนดึกหรือการหลับไม่สนิทซึ่งทำให้เกิดการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีความกังวลหรือความเครียดสะสม 
  • ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ 
  • การขาดสารอาหารสำคัญ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ หรือยาที่กดภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันตกต่ำลง
  • ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัส หรือผู้ที่มีไข้
  • ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดและเกิดการกระทบกับเส้นประสาทต่างๆ
  • ฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

การวินิจฉัยของโรคเริม

โรคเริมจะได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ โดยการดูลักษณะของตุ่มน้ำหรือแผลที่เกิดขึ้นตามบริเวณต่างๆ

หากผู้ป่วยมีอาการที่ไม่ค่อยชัดเจนแพทย์อาจจะสั่งให้ผู้ป่วยไปตรวจทางห้องปฎิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การนำเยื่อผิวหนังโดยการขูดบริเวณผิวหนังบริเวณที่มีการเกิดแผลชึ้นไปตรวจโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจสอบว่าได้รับเชื้อเริมหรือไม่ 

หากได้ข้อสรุปจากการตรวจเชื้อแล้วว่าผู้ป่วยได้รับเชื้อเริม แพทย์จะทำการจ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการหรือยาต้านไวรัสให้แก่ผู้ป่วย

การแทรกซ้อนของโรคเริม

ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือการดูแลรักษาความสะอาดบริเวณแผลที่ไม่ถูกวิธี 

ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้  เช่น

  • ปัญหาสายตา/กระจกตาอักเสบ – หากผู้ป่วยมีตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ เช่น แผลพุพองหรือมีแผลเป็นหนอง ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อและมีการติดเชื้อที่บริเวณตาหรือเปลือกตา หากได้รับการติดเชื้ออยู่บ่อยๆอาจจะทำให้กระทบกับการมองเห็นของผู้ป่วยได้
  • ปัญหาระบบสืบพันธุ์ – ผู้ป่วยทั้งเพศหญิงและชายที่ได้รับเชื้อเริมที่บริเวณอวัยวะเพศล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น ในเพศหญิงมักจะเกิดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกได้ ส่วนอีกทั้งไม่ว่าเพศชายนหรือเพศหญิงก็จะเสี่ยงในการติดเชื้ออื่นๆระหว่างร่วมเพศได้
  • ในผู้เป็นโรคผิวหนังอักเสบบริเวณทวารหนัก – เชื้อเริมอาจก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณทวารหนักได้
  • อวัยวะอื่นๆ – เชื้ออาจกระจายและกระทบกับอวัยวะได้หลายส่วน เช่น สมอง ไขสันหลัง เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเริมชนิดรุนแรงที่ต้องระวัง

  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบ
  • ผู้ป่วยที่ร่างกายอ่อนแอ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดอาหารอักเสบ
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเกิดการแทรกซ้อนของโรคได้
    • หากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ระยะสัปดาห์ที่ 28-40 ได้รับเชื้อเริม อาจมีอันตรายกับเด็กในครรภ์ได้ โดยลูกที่เกิดมาอาจจะเติบโตช้ากว่าเด็กปกติ มีพัฒนาการล่าช้า หรืออาจทำให้เด็กคลอดออกมาก่อนกำหนดได้
    • หากคุณแม่ได้รับเชื้อเริมบริเวณช่องคลอด หรือ ปากมดลูก ในช่วงของการคลอดบุตรอาจทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเริมจากคุณแม่ และอาจเป็นเริมชนิดรุนแรงได้
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะผิวหนังอักเสบ (จากปัญหากลุ่มโรคภูมิแพ้) – หากผู้ป่วยมีการติดเชื้อเริมที่บริเวณริมฝีปากและโรคเดิมของผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบอยู่ อาจทำให้เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อเริมแพร่ไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ ปัญหานี้อาจเกิดอันตรายที่รุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้
  • เด็กทารกที่ได้รับเชื้อเริมตั้งแต่แรกเกิด อาจทำให้เด็กทารกมีภาวะปอดอักเสบ ตับโต เกิดผื่นตามนิ้วมือ ผื่นผิวหนัง หรือ ปัญหาต้อกระจกหรือเกิดการอักเสบของจอตา เป็นต้น 
    • นอกจากนี้เด็กที่ติดเชื้อเริมแต่กำเนิดอาจมีภาวะเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น มักพบว่าเด็กมีลักษณะตาที่เล็กเป็นพิเศษ ศรีษะค่อนข้างเล็ก และมีน้ำหนักตัวค่อนข้างน้อยกว่ามาตราฐาน
  • หากผู้ป่วยได้รับเชื้อเริมแบบชนิดแพร่กระจาย ซึ่งเชื้อเริมชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบ ทางเดินอาหาร ระบบปอด ระบบทางเดินหายใจ ระบบตับและไต รวมถึงการแพร่กระจายเข้าสู่ไขสันหลังได้

วิธีการรักษาของโรคเริม

ในปัจจุบันโรคเริมนั้นยังไม่สามารถให้หายขาดได้ โรคเริมส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการที่หนักมากและอาการหายไปได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ สาเหตุที่โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากเชื้อเริมยังฝังอยู่ในปมเส้นประสาท 

และเมื่อผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันตก ก็จะมีโอกาสที่โรคเริมจะกลับมาเป็นอีกครั้งได้ โดยปกติแล้วแพทย์ตะวันตกจะรักษาเริมไปตามอาการ และมีการจ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเจ็บปวดเป็นพิเศษ หรือจ่ายยาต้านไวรัสให้แก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันโอกาสเสี่ยงของการติดต่อสู่ผู้อื่น และป้องกันไม่ให้เกิดการกำเริบที่รุนแรง

ยารักษาของโรคเริม

ยาแก้ปวด 

ส่วนใหญ่เป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ง่าย เช่น ร้านขายยา หรือ ร้านสะดวกซื้อ มี 2 แบบ คือยาบรรเทาอาการปวดชนิดแคปซูล และ ชนิดทา (ขี้ผึ้ง หรือ เจล) 

ยาบรรเทาอาการปวดชนิดเม็ด/แคปซูล 

  • แอสไพริน (Aspirin) เป็นยาบรรเทาปวด แก้อักเสบ ลดไข้ และเป็นยาชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID)
  • ไทลินอล (Tylenol) เป็นยาบรรเทาอาการปวด ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ตัวร้อน
  • แอดวิว (Advil) เป็นยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) 
  • มอทริน (Motrin) มีส่วนผสมของตัวยา ไอบูโฟรเฟน เป็นยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAID)

ยาบรรเทาอาการปวดชนิดทา (ขี้ผึ้ง หรือ เจล)

  • ลิโดเคน (Lidocaine) เป็นยาชาที่ใช้ระงับความรู้สึกเฉพาะที่ ระงับอาการปวดตามตำแหน่งต่างๆ
  • เบนโซเคน (Benzocaine) 
  • ไดบูเคน (Dibucaine) 
  • เบนซิลแอลอฮอล์ (Benzoyl alcohol) เป็นแอลกอฮอล์อินทรีย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในผลไม้บางชนิด

ยาต้านไวรัสเริม 

ยาต้านไวรัสเริมมี 2 แบบ คือ แบบรับประทานชนิดแคปซูล และแบบชนิดทาทางบริเวณผิวหนัง ยาต้านไวรัสจะต้องมีการสั่งยาโดยผ่านแพทย์เท่านั้น ซึ่งยาต้านไวรัสจะเข้าไปช่วยให้แผลของผู้ป่วยหายได้รวดเร็วขึ้น และช่วยต้านไวรัสเริมได้ ที่ใช้กันบ่อยได้แก่

  • โซไวแรกซ์ (Zovirax) เป็นยาสำหรับรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
  • แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) 
  • อะบรีวา (Abreva)
  • วาลเทร็กซ์ (Valtrex) เป็นยาชะลอการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อเริม (Herpes Simplex Virus)

วิธีการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเริม

การดูแลตนเองเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากได้ทำการรักษากับแพทย์ตะวันตกแล้ว หลังจากกลับมาบ้านผู้ป่วยควรตระหนักถึงการประพฤติตนอย่างไรที่จะทำให้อาการต่างๆของโรคเริมให้หายไวขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ข้อควรปฎิบัติตนมีดังนี้

  • ผู้ป่วยเริมที่มีตุ่มบริเวณริมฝีปาก ควรงดหรือหลีกเลี่ยง อาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด หรือ เปรียวจัด เป็นต้น และอาหารที่มีอุณภูมิร้อนๆ หากทานอาหารจำพวกนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีอาการแสบร้อนได้
  • ผู้ป่วยควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่อึดอัดมากเกินไป ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพราะว่าจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น 
  • หากผู้ป่วยมีอาการปวด แนะนำให้ให้ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด
  • บริเวณไหนที่มีตุ่มน้ำขึ้น แนะนำให้ผู้ป่วยใช้น้ำสะอาดและสบู่ทำความสะอาดบริเวณตุ่มน้ำ เพื่อเป็นการฆ่าโรคและทำให้บริเวณตุ่มน้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค
  • บริเวณแผลของผู้ป่วยไม่ควรอับชื้น ไม่ควรปล่อยให้แผลโดนน้ำมากเกินไป หากโดนน้ำมากเกินไปอาจทำให้แผลบริเวณนั้นเกิดการอับชื้นได้ ซึ่งอาจนำมาสู่การติดเชื้ออีกได้
  • ผู้ป่วยควรตรวจสุขภาพและตรวจเลือดอยู่เป็นประจำเพื่อเช็คว่าร่างกายของผู้ป่วยแข็งแรงสมบูรณ์หรือไม่ 

วิธีการป้องกันของโรคเริม

วิธีการป้องกันให้ดีที่สุด คือ การลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการแต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ การป้องกันผู้ป่วยอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่อย่างไรก็ตามเพื่อลดความเสี่ยงผู้ป่วยควรปฎิบัติ ดังนี้

  • คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หากได้รับเชื้อเริมควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ไวที่สุด เพื่อรักษาเด็กที่อยู่ในครรภ์ไว้
  • ผู้ป่วยโรคเริมไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนอื่นๆ เพราะอาจจะทำให้ผู้ที่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยได้รับเชื้อเริม ซึ่งนำมาสู่การแพร่กระจายของเชื้่อเริมได้
  • ผู้ที่เคยเป็นโรคเริมบริเวณอวัยวะเพศ หากต้องการร่วมเพศในเพศหญิงควรในคู่นอนสวมถุงยางอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อเริมได้ และในเพศชายควรสวมถุงยางอนามัยในขณะร่วมเพศด้วยเช่นกัน
  • ผู้ป่วยเริมที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ในระหว่างที่ทำการรักษาหรือแผลเริมยังไม่หายขาด ผู้ป่วยไม่ควรร่วมเพศกับผู้อื่นเด็ดขาด
  • หากผู้ป่วยเป็นเริมซ้ำๆกันเกิน 6 ครั้งภายในรอบปี ควรีบเข้าพบแพทย์ทำการรักษาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
  • ห้ามผู้อื่นสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยโรคเริม ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่สัมผัสได้รับเชื้อเริมได้
  • ผู้ป่วยที่มีแผลหรือตุ่มน้ำจนถึงผู้ป่วยที่ทำการรักษาจนแผลตกสะเก็ด ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะอยู่ในระยะของการแพร่เชื้อเริม 

อาหารที่ผู้ป่วยเริมไม่ควรรับประทาน 

  • อาหารจำพวกไขมันทรานส์ ได้แก่ ของทอดต่างๆ โดนัท เค้ก คุ้กกี้ เบเกอร์รี่ต่างๆ นมข้นหวาน นมข้นจืด น้ำมันพืช ครีมเทียม ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า ป็อปคอร์น เป็นต้น
  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอล์
  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ได้แก่ ชา กาแฟ
  • พืชผักหรือธัญพืชบางชนิด ได้แก่ ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และงา
  • โอเมก้า 6 ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนลา และถั่วต่างๆ สารอาหารโอเมก้า6 จะก่อให้เกิดการอักเสบได้

อาหารที่ผู้ป่วยเริมควรรับประทาน

  • โอเมก้า 3 ได้แก่ เนื้อปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาดุก ปลาช่อน เมล็ดเจีย เมล็ดแตงโต วอลนัท น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา สารอาหารโอเมก้า 3 จะช่วยลดการอักเสบได้
  • พืชผักหรือผลไม้บางชนิด ได้แก่ ใบบัวบก น้ำมะพร้าว สาหร่ายทะเล 
  • ไข่ไก่ต้มที่บริเวณไข่แดงไม่สุก (ไข่ยางมะตูม)
  • บริเวอร์ยีส คือยีสต์ที่อุดมไปด้วยสารอาหารชนิดต่างๆ เช่น โปรตีน ซีลีเนียม โครเมียม วิตามินบีรวม

• โรคเริมและโรคที่ใกล้เคียงคล้ายกัน

• QA รวมคำถามโรคเริมที่พบบ่อย