Skip to the content
โรคเริมและโรคที่ใกล้เคียงกัน
ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคงูสวัด
- โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัส คือ Herpes Simplex Virus (HSV) ส่วนโรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัส คือ Varicella Virus ทั้ง 2 โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยจากการสัมผัสบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล หรือ ตุ่มใส
- โรคเริม หากผู้ป่วยร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันตก มีโอกาสกลับมาเป็นเริมอีกครั้งได้ ส่วนโรคงูสวัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่กลับมาเป็นโรคงูสวัดอีก มักเป็นเพียงครั้งเดียว
- โรคเริม ผู้ป่วยเริม ส่วนใหญ่มีอาการแสบบริเวณแผลหรือตุ่มน้ำใสร่วมด้วย แต่มีอาการปวดแสบไม่มาก ส่วนโรคงูสวัด ผู้ป่วยมักมีแผลหรือตุ่มน้ำใสร่วมกับมีอาการปวดแสบร้อนมากกว่าโรคงูสวัด และมักมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทต่างๆ
- โรคเริม ผู้ป่วยมักมีตุ่มน้ำขึ้นบริเวณผิวหนังแบบไม่เรียงตัวกัน หรือมีแนวขึ้นสะเปะสะปะ ส่วนโรคงูสวัดมักมีแผล หรือ ตุ่มน้ำใสขึ้นเรียงตัวกันตามแนวประสาทต่างๆ
ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและร้อนใน
- โรคเริมหากผู้ป่วยได้รับเชื้อเริมบริเวณปาก มีแผล หรือมีตุ่มใส ส่วนร้อนในจะเป็นแผลบวมแดง หรือแผลเปื่อย เป็นแผลที่มีขนาดเล็ก มีอาการเจ็บแผลบริเวณแผล ส่งผลให้การทานอาหารไม่สะดวกหรือลำบาก
ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคอีสุกอีใส
- โรคอีสุกอีใสเริ่มจากมีอาการคันก่อน และมีตุ่มน้ำขึ้นในภายหลัง ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ รู้สึกเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว เจ็บคอ ส่วนโรคเริมจะมีอาการคันบริเวณที่ได้รับเชื้อมักเป็นแผล หรือ ตุ่มใส ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร่วมด้วย
ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคปากนกกระจอก
- โรคปากนอกกระจอก ส่วนใหญ่การได้รับเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดหลังจากการหลุดลอกของเซลล์บริเวณมุมปาก ต่อมาบริเวณนั้นได้รับการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีแผลบริเวณมุมปากทั้ง 2 ข้าง มีสีเหลืองๆ ขาวๆ และมีอาการปวดแสบร้อนร้วมด้วย เวลาอ้าปากหรือเวลาพูดผู้ป่วยจะรู้สึกตึงบริเวณมุมปากหรือมีอาการเจ็บ ส่วนโรคเริมเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส ลักษณะแผลจะเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นมาบนผิวหนัง และบริเวณที่พบบ่อยที่สุดคือ บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีอาการปวดแสบร่วมด้วย และสามารถแพร่กระจายของเชื้อเริมได้