Categories
โรคเริม

QA โรคเริมคำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อยของโรคเริมมีดังนี้

Q :  เริมรักษาหายได้ไหม?
A : โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อเริมยังฝังอยู่ในปมเส้นประสาท แต่ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพื่อไม่ให้เชื้อเริมกำเริบขึ้นมาอีกได้ 


Q : มีผู้ป่วยเริมในประเทศไทยจำนวนเท่าไหร่?

A : อัตราผู้ป่วยเริมในประเทศไทยอยู่ที่ 3 คน ต่อประชากร 100,000 คน เป็นข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ในปี พ.ศ. 2558 

Q : ผู้ป่วยโรคเริมสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่

A : ผู้ป่วยโรคเริมที่ได้รับเชื้อเริมบริเวณอวัยวะเพศหากต้องการมีเพศสัมพันธ์สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แต่ต้องป้องกันโดยการสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเริม

Q : หากผู้ป่วยเป็นโรคเริมควรบอกคู่นอนของผู้ป่วยหรือไม่

A : แนะนำให้ผู้ป่วยบอกคู่นอน เพื่อให้คู่นอนเข้าใจการแพร่เชื้อของเชื้อเริมและวิธีการป้องกันต่างๆ หากคู่นอนไม่ทราบว่าผู้ป่วยได้รับเชื้อเริมมาอาจทำให้คู่นอนติดเชื้อเริมได้ และส่งผลไปถึงการแพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นด้วย

Q : เชื้อเริมสามารถติดต่อจากคุณแม่ไปสู่ลูกได้หรือไม่

A : ในกรณีที่คุณแม่ได้รับเชื้อเริมบริเวณอวัยวะเพศหากคุณแม่ต้องคลอดบุตรแพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าคลอดแทนค่ะ หากคุณแม่ต้องคลอดตามธรรมชาตินั้น ในขณะที่คุณแม่กำลังคลอดอยู่ ลูกจะต้องผ่านบริเวณช่องคลอดซึ่งเป็นบริเวณที่คุณแม่ได้รับเชื้อเริมมาอาจทำให้ลูกได้รับเชื้อเริมได้ และเชื้อเริมไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากคุณแม่สู่ลูกได้

Q : ผู้ป่วยเริมมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเอดส์ได้หรือไม่
A : ผู้ป่วยเริมหากได้รับเชื้อเริมบริเวณอวัยวะเพศ ส่วนใหญ่มักจะมีความเสี่ยงในการรับเชื้อไวรัสเอดส์ได้ เนื่องจากผู้ป่วยเริมเดิมมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อไวรัสต่างๆรวมถึงไวรัสเอดส์ด้วย

Q : หากในครอบครัวมีผู้ป่วยเริมอยู่ในบ้าน จะทำให้คนในบ้านติดเชื้อเริมหรือไม่

A : โรคเริมเป็นโรคที่ติดต่อกันค่อนข้างยาก เพราะเชื้อเริมจะอยู่บริเวณแผล หรือ บริเวณตุ่มใส เท่านั้น หากผู้ป่วยทำความสะอาดแผลให้ปราศจากเชื้อโรค ไม่ปล่อยให้บริเวณแผลมีการอับชื้น เป็นต้น เชื้อเริมไม่ได้ติดต่อกันทางน้ำลาย น้ำมูก หรือ เหงื่อ หากคนในครอบครัวมีความกังวลในการติดเชื้อเริม แนะนำแยกของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วยกับคนอื่นๆ

Q : โรคเริมสามารถทราบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปีได้หรือไม่

A : โรคเริมไม่สามารถทราบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี เพราะว่าการตรวจสุขภาพประจำปีส่วนใหญ่มักมีการตรวจเลือด ซึ่งเชื้อเริมนั้นไม่ได้อยู่ในเลือดจึงไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ตรวจสุขภาพนั้นได้รับเชื้อเริมมาหรือไม่

Q : ผู้ป่วยเริมสามารถไปบริจาคเลือดได้หรือไม่

A : ผู้ป่วยเริมสามารถไปบริจาคเลือดได้ แต่แนะนำให้ผู้ป่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เช่น การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย หรือยืดเส้นสาย อาจจะเป็นกิจกรรมโยคะ การเต้นออกกำลังกายแอโรบิค หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว เป็นต้น หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงมากพอ อาจส่งผลให้หลังการบริจาคเลือดนั้นอาการของโรคเริมกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ เพราะร่างกายของผู้ป่วยไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันตก

Q : โรคเริมมีวัคซีนหรือไม่

A : ในปัจจุบันโรคเริมเป็นโรคที่มักพบบ่อยแต่ยังไม่มีวัคซีน  อยู่ในช่วงการศึกษาและคิดค้นของผู้เชี่ยวชาญ 

Q : โรคเริมสามารถใช้กระเทียมในการรักษาได้จริงหรือไม่

A : จากแหล่งข่าว Anti-Fake new ยังไม่มีหลักฐานและข้อมูลชัดเจน กระเทียมยังไม่สามารถรักษาโรคเริม กระเทียมมีสรรพคุณช่วยขับลม ลดอาการจุกเสียด เเน่นเฟ้อ และควบคุมน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล และ ปรับความดันโลหิต เป็นต้น 

Categories
โรคเริม

โรคเริมคล้ายกับโรคอะไรบ้าง

โรคเริมและโรคที่ใกล้เคียงกัน

ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคงูสวัด

  • โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัส คือ Herpes Simplex Virus (HSV) ส่วนโรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัส คือ Varicella Virus ทั้ง 2 โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยจากการสัมผัสบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล หรือ ตุ่มใส 
  • โรคเริม หากผู้ป่วยร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันตก มีโอกาสกลับมาเป็นเริมอีกครั้งได้ ส่วนโรคงูสวัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่กลับมาเป็นโรคงูสวัดอีก มักเป็นเพียงครั้งเดียว
  • โรคเริม ผู้ป่วยเริม ส่วนใหญ่มีอาการแสบบริเวณแผลหรือตุ่มน้ำใสร่วมด้วย แต่มีอาการปวดแสบไม่มาก ส่วนโรคงูสวัด ผู้ป่วยมักมีแผลหรือตุ่มน้ำใสร่วมกับมีอาการปวดแสบร้อนมากกว่าโรคงูสวัด และมักมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทต่างๆ 
  • โรคเริม ผู้ป่วยมักมีตุ่มน้ำขึ้นบริเวณผิวหนังแบบไม่เรียงตัวกัน หรือมีแนวขึ้นสะเปะสะปะ ส่วนโรคงูสวัดมักมีแผล หรือ ตุ่มน้ำใสขึ้นเรียงตัวกันตามแนวประสาทต่างๆ

ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและร้อนใน

  • โรคเริมหากผู้ป่วยได้รับเชื้อเริมบริเวณปาก มีแผล หรือมีตุ่มใส ส่วนร้อนในจะเป็นแผลบวมแดง หรือแผลเปื่อย เป็นแผลที่มีขนาดเล็ก มีอาการเจ็บแผลบริเวณแผล ส่งผลให้การทานอาหารไม่สะดวกหรือลำบาก

ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคอีสุกอีใส

  • โรคอีสุกอีใสเริ่มจากมีอาการคันก่อน และมีตุ่มน้ำขึ้นในภายหลัง ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ รู้สึกเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว เจ็บคอ ส่วนโรคเริมจะมีอาการคันบริเวณที่ได้รับเชื้อมักเป็นแผล หรือ ตุ่มใส ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร่วมด้วย 

ข้อแตกต่างระหว่างโรคเริมและโรคปากนกกระจอก

  • โรคปากนอกกระจอก ส่วนใหญ่การได้รับเชื้อแบคทีเรีย  มักเกิดหลังจากการหลุดลอกของเซลล์บริเวณมุมปาก ต่อมาบริเวณนั้นได้รับการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีแผลบริเวณมุมปากทั้ง 2 ข้าง มีสีเหลืองๆ ขาวๆ และมีอาการปวดแสบร้อนร้วมด้วย เวลาอ้าปากหรือเวลาพูดผู้ป่วยจะรู้สึกตึงบริเวณมุมปากหรือมีอาการเจ็บ ส่วนโรคเริมเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส ลักษณะแผลจะเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นมาบนผิวหนัง และบริเวณที่พบบ่อยที่สุดคือ บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีอาการปวดแสบร่วมด้วย และสามารถแพร่กระจายของเชื้อเริมได้